วันอังคารที่ 11 ตุลาคม พ.ศ. 2554

บ้านเมืองของเรา รู้ไว้ใช่ว่าใส่บ่าแบกหาม


บ้านเมืองเรื่องของเรา : รู้ไว้ใช่ว่าใส่บ่าแบกหาม

เพราะคำพิพากษาของศาลชั้นต้น กับศาลอุทธรณ์ มีความเห็นแย้งกัน ทั้งประเด็นข้อกฎหมายและข้อเท็จจริง เกือบทุกประเด็น เมื่อศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำคุก “บรรณพจน์-พจมาน” คนละ 3 ปี รวมไปถึง “กาญจนาภา พงษ์เหิน” เลขาฯ ส่วนตัว ที่โดนโทษจำคุก 2 ปีด้วย

ปาหี่เปิดฟลอร์ “ฟอกขาว” กันเอง

ถึงเวลาถอดถอน “ทนายแผ่นดิน”


กรณีไม่ฎีกาคดีเลี่ยงภาษีหุ้น “ชินคอร์ป” ที่มีจำเลยคนดังอย่าง “บรรณพจน์ ดามาพงศ์” และ “คุณหญิงพจมาน ดามาพงศ์” อดีตภริยาของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ทำให้บทบาทของ “อัยการ” ในฐานะ “ทนายแผ่นดิน” ถูกจับตามองด้วยสายตาที่เคลือบแคลงสงสัยทันที

 
      
       เพราะคำพิพากษาของศาลชั้นต้น กับศาลอุทธรณ์ มีความเห็นแย้งกัน ทั้งประเด็นข้อกฎหมายและข้อเท็จจริง เกือบทุกประเด็น เมื่อศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำคุก “บรรณพจน์-พจมาน” คนละ 3 ปี รวมไปถึง “กาญจนาภา พงษ์เหิน”เลขาฯ ส่วนตัว ที่โดนโทษจำคุก 2 ปีด้วย


      
       ขณะที่ศาลอุทธรณ์ตัดสินยกฟ้อง “พจมาน-กาญจนาภา” ส่วน “บรรณพจน์” เหลือโทษจิ๊บจ๊อยแค่จำคุก 2 ปี-ปรับ 1 แสนบาท และให้รอลงอาญา 1 ปี


      
       ด้วย “ตรรกะ” ง่ายๆของกระบวนการยุติธรรม ที่มีศาลมีให้ต่อสู้ถึง 3 ศาล คือ ศาลชั้นต้น ศาลอุทธรณ์ และศาลฎีกา เมื่อ 2 ศาลแรกมีความเห็นขัดกัน ก็ต้องผล่อยให้เป็ฯหน้าที่ของ “ศาลฎีกา” ที่ต้องพิจารณาทบทวนให้เกิดความกระจ่างชัด


      
       แต่ “ทนายแผ่นดิน” กลับ “ตัดตอน” โดยไม่ยื่นฎีกาเสียดื้อๆ
      
       จึงไม่แปลกที่จะมีข้อสงสัยและคำถามถึง “จุลสิงห์ วสันตสิงห์” อัยการสูงสุด ที่เป็นผู้ทุบโต๊ะสั่งไม่ยื่นฎีกาคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์แบบค้านสายตาประชาชน


      
       ทั้ง คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ที่ส่งหนังสือทันทีที่ทราบคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ เพื่อให้อัยการสูงสุดยื่นฎีกาในทุกข้อหา แต่ “จุลสิงห์” เลือกที่จะไม่รับฟัง


      
       หรือ “เพื่อนเก่า” อย่าง “ถาวร เสนเนียม” ส.ส.สงขลา พรรคประชาธิปัตย์ ที่เคยกอดคอกันทำงานในสำนักงานอัยการสูงสุดร่วมกันมาก่อน ก็ร้อนรนทนไม่ได้กับบทบาทของอดีตเพื่อนร่วมงาน จนต้องยกพลทีมกฎหมายพรรคประชาธิปัตย์ ยื่นหนังสือต่อ “จุลสิงห์” เพื่อสอบถามเหตุผลโดยตรง


      
       ซึ่ง “จุลสิงห์” ก็ไม่รู้ร้อนรู้หนาว แถมอ้างว่ามีคิวต้องเข้าชี้แจงต่อ คณะกรรมาธิการกิจการองค์กรตามรัฐธรรมนูญและติดตามการบริหารงบประมาณ วุฒิสภา ให้แล้วเสร็กก่อนที่จะให้ข้อมูลตามที่ “ถาวร” กับพวกร้องขอ เพราะต้องใช้เอกสารในการชี้แจงต่อ กมธ.ดังกล่าว


      
       เรียกว่าใช้ชื่อ “กมธ.องค์กรอิสระ วุฒิฯ” บังหน้าก็คงไม่ผิด
      
       ที่น่าแปลกก็คือ เหตุใด “จุลสิงห์” กลับให้ความสำคัญต่อ กมธ.องค์กรอิสระ วุฒิสภา มากกว่าพรรคประชาธิปัตย์ ที่ขู่ฮึ่มๆ ว่างานนี้จะเล่นงานถึงขั้นยื่นถอดถอนออกจากตำแหน่งอัยการสูงสุด


      
       แต่พอเปิดชื่อบุคคลที่เป็นประธานคณะกรรมาธิการฯ ก็ถึง “บางอ้อ” เมื่อปรากฏชื่อ “จิตติพจน์ วิริยะโรจน์” ส.ว.ศรีสะเกษ นั่งเป็นหัวโต๊ะของชุดนี้ เพราะรู้กันดีอยู่ว่า “จิตติพจน์” ยืนอยู่ฝั่งไหน สวมเสื้อสีอะไร เพราะตั้งแต่เข้ามาทำหน้าที่ในสภาสูง ก็แสดงบทบาทเป็น “ลูกคู่” ของพรรคเพื่อไทย ตั้งแต่เป็นฝ่ายค้าน จนได้มาเป็นรัฐบาลแบบเปิดเผยอย่างชัดเจน ที่สำคัญกับบทบาทในการปกป้องกลุ่มคนเสื้อแดง ผ่านการทำงานในฐานะ ประธานคณะกรรมการติดตามสถานกาณ์บ้านเมือง ที่คอยเป็น “หอก” ทิ่มแทงรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ในสมัยนั้นอยู่ตลอดเวลา


      
       จนถูกขนานนามให้เป็น “หัวหอก” ของ ส.ว.เสื้อแดงไปในที่สุด
      
       โดยถึงวันที่นัดหมายกัน “จุลสิงห์” ถึงขนาดยกทัพใหญ่จากสำนักงานอัยการสูงสุด หนีบ “วุฒิพงศ์ วิบูลย์วงศ์” รองอัยการสูงสุด และคณะผู้บริหารระดับสูงมาด้วย ก็เห็นได้ชัดว่า “ให้เกียรติ” กันอย่างมาก แถมบรรยากาศในห้องประชุมก็เปี่ยมไปด้วยบรรยากาศ “ฉันมิตร” ที่ไม่มีการซักไซร้ไล่เรียงเหตุผลในการไม่ยื่นฎีกาคดีที่ดุเดือดรุนแรงอย่างที่ควรจะเป็น ทั้งที่มีข้อเคลือบแคลงสงสัยมากมาย


      
       กลายเป็นเวทีที่ “จุลสิงห์” แก้ต่างแบบ “วันแมนโชว์” ไม่มีผู้ใดขัดให้เสียจังหวะ จึงไม่แปลกอีกเช่นกันว่าทำไมจึงให้เกียรติ และเลือกเวทีนี้ในการชี้แจง
      
       จึงไม่ต่างจากการอาศัยเวทีปาหี่ “ฟอกขาว” ให้ “จุลสิงห์” โดยมี “จิตติพจน์” แสดงบท “เจ้าของวิกยี่เก”


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น