ท่องเชียงรายในสามวัน(2)
…………
……………….
เราเดินผ่านถนนในหมู่บ้านเล็กๆ
ไม่นานนักถึงบ้านถวัลย์ ดัชนี มหาศิลปินแห่งยุคสมัย มองตรงเข้าด้านใน เห็นป้ายชื่อเจ้าของเรือนตกแต่งสวยงาม
ซ้ายมือแหงนมองเรือนหลังใหญ่คล้ายมหาวิหาร หรือ พระอุโบสถของวัดใดวันหนึ่ง
สีดำทำด้วยไม้เป็นหลัก ปลายเรือนยอดแหลมสูงเสียดฟ้า เสาใหญ่ภายนอกตัวเรือนเรียงรายตามแนวยาวนับได้เกิน
10 เสา แนวกว้าง 4 เสา ขอบประตู บานประตูขนาดใหญ่ แกะสลักลวดลายไทยละเอียดยิบสวยงามเกินบรรยาย
หลายคนเดินผ่านเข้าสู่ด้านในอย่างรวดเร็วโดยไม่ทันได้สังเกตเห็นความสวยงามจากภายนอก
ภายในบรรจุงานศิลปะผสมผสานหลายแบบ
เสาภายในเรือนแกะสลักลวดลายทุกต้น หลายคนแยกย้ายกันถ่ายรูปตามจุดต่างตามใจปรารถนา
เดินชมหนังงูเหลือมขนาดใหญ่วางแผ่หลายแผ่นอยู่บนโต๊ะคาดว่าอาจารย์ถวัลย์มองเห็นความงามบนแผ่นหนังของงูคล้ายตกแต่งด้วยมือของศิลปินชั้นเยี่ยม
จึงนำมาไว้ให้ชมกัน มีภาพวาดสวยงามเชิงนามธรรมจำนวนมากไว้ให้ขบคิดพิจารณาวางไว้ตามจุดต่างๆ
รอบเรือน พบพระพุทธรูปหินอ่อนสีขาวนวลอ่อนช้อยสวยงามวิจิตรน่าชมตั้งกลางเรือน
เปลือกหอยขนาดใหญ่ เขาสัตว์ เช่นเขาควายจัดแต่งเหมือนเก้าอี้
เหมือนเคยเห็นอาจารย์ถวัลย์ เคยนั่งถ่ายภาพบนโต๊ะแบบนี้
แต่ผมเองไม่กล้านั่งกลัวบารมีอาจารย์ และกลัวหักพัง
กว่าจะผ่านเรือนโอฬารและศิลปะอันหลากหลายออกมาได้
เราใช้เวลายาวนานเป็นพิเศษ
มองจากด้านหลังเรือนใหญ่หลังนี้เห็นงานศิลปะอื่นอีกจำนวนมาก บนเนื้อที่คำนวณเคร่าๆ
ราว 7 ไร่ เป็นการคำนวณเอาตามสายตานะครับ ส่วนใหญ่เป็นสีดำ
แต่แอบเห็นศิลปกรรมขนาดเล็กอยู่บ้างเหมือนกันที่เป็นสีขาว
ด้านขวาของเรือนหลังนี้มีเรือนไม้ขนาดย่อม
แต่แปลกตาที่ต้นเสาแต่ละต้นใหญ่เกินความจำเป็น
อาจเป็นความนิยมของชาวเหนือที่มักสร้างเรือนด้วยเสาไม้ขนาดใหญ่แสดงฐานะร่ำรวยมั่นคง
นับตามแนวยาวได้ราว 6 เสา เป็นที่รวบรวมของใช้สมัยเก่า มองเห็นหัวควาย เรือยาว
กลองหนังขนาดใหญ่ ลำรางคล้ายเรือ แกะจากไม้ทั้งต้น ตัดหัวตัดท้าย
ไม่รู้ว่าเป็นเรือตามที่คิดหรือไม่
เดินชมเรือนรับรองบริวารต่อมาเห็นเรือนยอดแหลมอื่นๆ
อีกหลายแห่ง แต่ว่าเรือนเหล่านี้เกือบทุกหลังมองไม่เห็นคนพักอาศัยอยู่บนเรือน
นอกจากเรือนด้านในสุดของพื้นที่ พบคนพักอาศัยอยู่บ้าง สอบถามถึงอาจารย์ถวัลย์ว่า
ท่านอยู่บ้านหรือไม่ หญิงวัยกลางคนตอบว่า “อยู่ อาจารย์พักผ่อน
นัดไว้หรือเปล่าค่ะ” “เปล่าครับ” รีบตอบเพราะความเกรงใจ เนื่องจากพอรู้บ้างว่า
อาจารย์ เป็นผู้มีนิสัยรักสงบชอบเก็บตัวอยู่เงียบๆ มากกว่าการสนทนากับชนทั่วไป
พบฝรั่งสองคนสามีภรรยาเดินชมอยู่จึงถือโอกาสฝึกภาษาอังกฤษด้วยการทักทายชวนสนทนา
ได้ข้อมูลว่าสองคนเดินทางมาจากประเทศยูเครน ภรรยาชอบศิลปะในด้านการวาดรูป ส่วนสามีทำงานด้านคอมพิวเตอร์
ภรรยายกย่องชมเชยงานของอาจารย์ถวัลย์ว่าเป็นยอดของศิลปะ
แถมฝากให้ช่วยบอกเจ้าของด้วย ผมได้แต่รับคำแบบเลี่ยงๆ ว่า “จะบอกให้ครับ
ถ้าได้พบนะ” เธอยิ้มด้วยความยินดี
เดินกลับออกมาทางด้านขวาของเรือนศิลป์หลังใหญ่
พบเพื่อนพ้องเกือบทั้งหมดมานั่งรวมกันพักผ่อน รอเดินทางกลับพร้อมกัน
ตอนเที่ยวกลับมัคคุเทสก์เดินนำกลับทางลัด ทำหลายคนพึงพอใจ เพราะไม่ต้องเดินไกลจนเกินไป
ขึ้นรถบัสได้ต่างคนต่างเอนหลังพิงพนังเบาะหลับตาลงพักผ่อนแก่เหนื่อย
ถึงที่พักหลายคนถือโอกาสนอนชั่วครูรอเวลารับประทานอาหารค่ำ
ถึงเวลานัดหมายเราพร้อมกันที่ล็อบบี้เพื่อเดินทางสู่ร้านอาหาร “คุ้มสบันงา”
เป็นร้านอาหารบรรยากาศขันโตกแบบชาวเหนือ เนื่องจากคณะของเราเป็นคณะใหญ่ได้รับเกียรติให้รวมอยู่ในห้องวีไอพี
(พิเศษ) ขณะอาหารเริ่มทยอยเข้าสู่โต๊ะ บนเวทีมีการเล่นดนตรีชาวเหนือ สะล้อซอซึง
และนักร้องนำ ชวนเชิญและร้องด้วยสำเนียงชาวเหนือชัดเจน มีขบวนแห่ย่อยๆ
เดินโปรยดอกไม้เข้าสู่เวที เรารับประทานอาหารไปฟังไปคุยกันไป
จบท้ายด้วยการถ่ายภาพร่วมกันแล้วจากลาด้วยความประทับใจในความงามแบบชาวเหนือ คำพูด
เพลง ดนตรีลีลาเต้นร่ำอ่อนช้อยน่าชม
ขากลับเราแวะชมตลาดแถวหอนาฬิกาและเดินเที่ยวชมในท์บาซ่า
หลายคนซื้อผ้า สร้อยแหวนนาฬิกาของฝากเล็กๆ น้อยๆ กันจนเมื่อยจึงชวนกันกลับขึ้นรถเดินทางกลับไปพักผ่อนที่ลักษณวรรณรีสอร์ท
ต่างหลับฝันถึงการท่องเที่ยวชมเชียงรายในวันรุ่งขึ้น
เช้าหลังมื้ออาหารเราขึ้นรถตู้
5 คันออกเดินทางมุ่งหน้าสู่วัดถ้ำป่าอาชาทองเพื่อทำบุญตักบาตรกับพระขี่ม้า รถตู้แล่นตามกันไปจากถนนใหญ่เข้าถนนสายเล็กในชุมชนหลายชุมชน
เห็นต้นหมากรากไม้เรียงรายสวยงามเงียบสงบ ข้ามสายน้ำเล็กหนึ่งสาย
ก่อนรถแล่นเข้าสู่บริเวณวัด ที่แทรกอยู่ระหว่างภูเขา แมกไม้ใหญ่น้อยมากมาย
หลาคนเตรียมอาหารกระป๋องของแห้งมาตั้งแต่เมื่อคืนตอนเดินเที่ยวตลาด หลายคนหาซื้อหาข้าวสารอาหารแห้งเอาบริเวรหน้าวัด
แล้วขึ้นไปหน้าวัดเพื่อรอพระเดินทางกลับจากขี่ม้าบิณฑบาตจากที่ไกล
คณะของเราพร้อมด้วยคณะอื่นต่างเตรียมของใส่บาตรเข้าแถวยืนบ้างนั่งบ้างรอพระด้วยจิตใจเป็นกุศล
เก้าโมงกว่าพระขี่ม้ากลับวัด
ผ่านลานที่คณะของเรารออยู่ต่างถวายจตุปัจจัยไทยทานผ้าไตรจีวรข้าวสารอาหารแห้งเสร็จแล้วพระคุณเจ้ารูปหนึ่งทำหน้าที่อนุโมทนาบุญให้พร
นำคณะของเรากรวดน้ำอุทิศส่วนกุศลบุพชน เปตชนอย่างยาวนาน
พร้อมกับการแนะนำหลักธรรมในการปฏิบัติ ตามแนวทางของหลวงปู่วัดปากน้ำ
บวกกับแนวทางของหลวงปู่วัดท่าซุง คณาจารย์ทั้งสองมีศิษยานุศิษย์จำนวนมากทั้งในและต่างประเทศ
พระเล่าให้ฟังว่า
พระอาจารย์เจ้าอาวาสรวมปัจจัยไทยธรรมที่รับจากญาติโยมศรัทธาสาธุชนแล้วนำไปแจกจ่ายถวายวัดเล็กวัดน้อยตามชายแดนอีก
12 สาขา
ที่แฝงตัวอยู่ตามแนวตะเข็บชายแดนสั่งสอนธรรมให้ความร่มเย็นดุจไม้ใหญ่ในไพรกว้าง
ให้ความร่มเย็นแก่ส่ำสัตว์ เวลานอกจากนั้นหมดไปกับการเจริญสติสมาธิภาวนา
ขณะพระอาจารย์นั่งหลังม้าบิณฑบาตเสร็จแล้ววกกลับออกมาให้พร
นำญาติโยมกรวดน้ำอุทิศส่วนกุศลคำนวณเวลากว่าชั่วโมง อาจเกิดความสงสัยได้ว่า
ม้าจะให้ความร่วมมือกับพระหรือไม่ ม้าแสนรู้ทำหน้าที่ผู้ช่วยพระโดยไม่บอกเลย เพียงแค่มีศิษย์พระหนึ่งคน
ถือถังเล็กใส่ข้าวโพดให้ม้ากินไปเรื่อยๆ ข้าวโพดไม่หมด ม้าไม่หนีแน่
เรียกว่าเป็นการแลกเปลี่ยนที่สมดุล พระสอนไป ม้ากินข้าวโพดไป กัดเสียงดังกร๊อบๆ
ไม่หยุดปากเลย อิ่มบุญกันแล้วต่างชักชวนกันลงจากลานหน้าวัดไปที่จอดรถ
รวมพลกันที่วัดจนครบขึ้นรถตู้มุ่งหน้าสู่ดอยตุง
เพื่อเยี่ยมเยือนบ้าน “สมเด็จย่า” ผู้เป็นที่รักของชาวไทย
ความงามของพระตำหนักกลางดอยหนาวอยู่ในความทรงจำเนิ่นนานมา
ครั้งเยือนดอยตุงหลายปีก่อน รถวิ่งขึ้นเขาบนเส้นทางแคบๆ รวดเร็วไม่น้อย
จนผมนึกนิยมในฝีมือพลขับ ไม่ชำนาญทางอย่าริทำแบบนี้เด็ดขาด
วนไปวนมาโค้งไปโค้งมาได้สักครู่ หลายคนเอนหลังพิงเบาะหลับตาลง ทำทีว่าง่วง
ปกปิดอาการผะอืดผะอมที่ค่อยๆ ก่อตัวขึ้นในความรู้สึก
แต่เหมือนฟ้าดินเป็นใจ
เราถึงลานจอดรถบนดอยตุง
ก่อนที่ใครจะตัดสินใจเสียสละอาหารมื้อเช้าที่บรรจุไว้เป็นเสบียงในท้อง รวมพลกันเสร็จเดินตามหลังมัคคุเทศก์ไปรอหน้าอาคารร้านค้า
กลิ่นกาแฟลอยกรุ่นอยู่ในบรรยากาศยามสายจากร้านกาแฟใกล้เคียง หลายคนหมายตาว่า
กลับออกมาจะแวะจิบกาแฟเสียหน่อย
รับบัตรผ่านประตูทางเข้าแล้วนัดหมายเวลาชมรอบบริเวณดอยตุงแห่งนี้ชั่วโมงกว่า ต่างคนต่างเดินออกกำลังกายสู่พระตำหนัก
แว่วเสียงหมีกินผึ้งเล็กน้อยพอเป็นพิธีของใครบางคนที่ไม่ค่อยสันทัดกิจกรรมทางขา
ส่วนผมเองรู้สึกขอบคุณกิจกรรมที่มักจะทำเป็นประจำคือออกเดินตอนหลังเลิกงาน
ทำให้คุ้นชินการเดิน เหมือนว่าเป็นเพื่อนสนิทที่พบกันเป็นประจำ การเดินในระยะที่พอกับกำลังของแต่ละคนเป็นประจำ
มีประโยชน์อย่างนี้เอง ทัศนคติต่อการเดินเปลี่ยนไปในด้านบวก เพราะเดินแล้วเพลินไม่เหนื่อยมากนัก
อีกประการหนึ่ง การเดินไปคุยกันไป ถ่ายรูปไป
มองดอกไม้พันธุ์ไม้หลากหลายช่วยบรรเทาความเหน็ดเหนื่อยได้ไม่น้อย
ยืนรวมตัวอยู่หน้าพระตำหนักดอยตุง
“บ้านสมเด็จย่า” สักครู่ เมื่อพร้อมกันดีแล้ว รับเครื่องเสียงพร้อมหูฟังจากเจ้าหน้าที่
ฟังวิธีการใช้พร้อมขั้นตอนแล้วทดสอบฟังดู มีคำบรรยายจุดสำคัญต่างๆ
ภายในพระตำหนักจำนวนมาก โดยใช้หมายเลขเป็นตัวกำกับ
เดินถึงมุมใดตัวเลขใดเปิดฟังเสียงบรรยายได้ทันที โดยไม่ต้องรอผู้บรรยายคนใดมาช่วย
เราก็รู้ได้เองอย่างแจ่มแจ้ง แต่เป็นที่น่าเสียดาย
หลายคนเดินเร็วนำหน้าโดยฟังบ้างไม่ฟังบ้าง
คนตามหลังเห็นท่าว่าจะไม่ทันเลยเร่งติดตามไป กลายเป็นว่าคณะของเราส่วนมากฟัง
และชมไม่จบ มายืนฟังบรรยายโดยชมภาพทิวทัศน์ภายนอกประกอบการบรรยายแทนภาพด้านใน
ออกจากพระตำหนักรวมตัวกันถ่ายภาพหมู่ไว้เป็นที่ระลึกแล้วจึงเดินชมอาณาบริเวณอันร่มรื่น
ดอกไม้ ต้นไม้ ภูเขา ทัศนียภาพสิ่งแวดล้อมตื่นตาเย็นใจกับธรรมชาติ
สุนทรียภาพอันสวยงามสะท้อนกลับสู่ดวงใจ
ชีวิตของคนหนึ่งคนจะมีโอกาสได้อยู่ในสิ่งแวดล้อมอันสงบเช่นนี้บ้างหรือไม่
บางคนเกิดคำถามในใจว่า จะมีสักกี่ครั้งที่ได้เยี่ยมชมสถานที่อันซาบซึ้งใจเช่นนี้
เพราะชีวิตคร่ำเคร่งอยู่กับการเลี้ยงชีพตามวิถีอันสับสนซับซ้อนยิ่งขึ้นทุกที
(โปรดติดตาม)